หัวข้อที่ครอบคลุม
- 2 min
- Published: 17 July 2025
- Updated: 17 July 2025
หลายคนใฝ่ฝันอยากไปเรียนต่อสหรัฐอเมริกา เพราะเป็นประเทศที่มีมหาวิทยาลัยระดับโลก ระบบการศึกษาที่ยืดหยุ่น และโอกาสในการเติบโตในสายอาชีพสูงมาก แต่สิ่งที่ท้าทายคือ "จะเริ่มจากตรงไหนก่อนดี?"
บทความนี้จะพาคุณไปดู 7 ขั้นตอนสำคัญในการเตรียมตัวเรียนต่ออเมริกา (USA) อัปเดตล่าสุดปี 2026-27 พร้อมเทคนิคดี ๆ ที่จะทำให้คุณวางแผนได้ถูกทางและไปถึงเป้าหมายได้จริง 💪
ขั้นตอนที่ 1: เลือกคอร์สและมหาวิทยาลัยที่ใช่
เริ่มจาก "รู้จักตัวเองก่อน" อยากเรียนอะไร? จบไปแล้วจะทำงานด้านไหน? อยากได้ประสบการณ์แบบไหน? เมื่อรู้คำตอบแล้วให้เริ่มค้นหาโปรแกรมที่ตรงกับเป้าหมายของคุณ เช่น
สนใจ Business → ค้นหา MBA, Marketing, Finance
สนใจ Tech → ค้นหา Data Science, Computer Science, AI
สนใจ Art → ดูคอร์ส Design, Fine Arts, Media
สิ่งที่ควรพิจารณาเมื่อเลือกมหาวิทยาลัย:
คุณภาพของหลักสูตรและอาจารย์
สภาพแวดล้อมเมืองนั้น ๆ (ปลอดภัย ค่าใช้จ่าย การเดินทาง)
โอกาสในการทำงานระหว่างเรียน (CPT/OPT)
ความพร้อมทางการเงิน
🛠 แนะนำเครื่องมือที่ใช้ค้นหา:
US News Education
เว็บไซต์มหาวิทยาลัยโดยตรง
Join the IDP student community
Connect with peers and student ambassadors to hear real experiences, tips, and advice about studying abroad.

ขั้นตอนที่ 2: วางแผนเรื่องทุนการศึกษาและค่าใช้จ่าย
ค่าใช้จ่ายในการเรียนที่อเมริกามีหลากหลาย ส่วนใหญ่รวมถึง:
ค่าเทอม: $15,000 – $60,000/ปี (ขึ้นกับสาขาและมหา’ลัย)
ค่าครองชีพ: $800–$1,500/เดือน
ค่าหนังสือ, ประกันสุขภาพ, และกิจกรรมเสริม
📌 สรุปโดยประมาณ: 1 ปี อาจใช้งบ 1.2 – 2.5 ล้านบาท
แหล่งทุนการศึกษาน่าสนใจ:
ทุน Fulbright
ทุนรัฐบาลไทย / สกอ
ทุนจากมหาวิทยาลัย (Merit-based, Need-based, RA/TA)
ทุนเอกชน (ธนาคาร, มูลนิธิ ฯลฯ)
💡 เคล็ดลับ: หาก GPA ไม่สูงมาก อาจใช้จุดแข็งอื่น เช่น ประสบการณ์ทำงาน, Portfolio, SOP เพื่อเพิ่มโอกาสรับทุน
ขั้นตอนที่ 3: เตรียมสอบวัดผล
ทุกมหาวิทยาลัยจะมีการกำหนดคะแนนมาตรฐานในการรับเข้าเรียน ทั้งด้านภาษาและทักษะวิชาการ
สอบภาษาอังกฤษ (เลือก 1):
TOEFL iBT: ใช้กันแพร่หลายในอเมริกา
IELTS Academic: ใช้ได้เช่นกันกับหลายสถาบัน
Duolingo English Test: เริ่มเป็นที่ยอมรับในบางมหา’ลัย
สอบวิชาการ (ขึ้นอยู่กับระดับและสาขา):
SAT / ACT: สำหรับระดับปริญญาตรี
GRE: สำหรับสายวิทย์ วิศวะ หรือสังคมศาสตร์
GMAT: สำหรับหลักสูตร MBA หรือ Business
📅 ควรสอบล่วงหน้า 6-12 เดือน และเช็คเงื่อนไขของแต่ละสถาบัน
ขั้นตอนที่ 4: เตรียมเอกสารและสมัครเรียน
หลังสมัครเสร็จ มหาวิทยาลัยจะใช้เวลาพิจารณา 2–4 เดือน โดยคุณจะได้รับผลผ่านอีเมลหรือพอร์ทัลของสถาบัน
หากได้การตอบรับ (Offer Letter) แล้ว ให้รีบ:
ตอบรับ (Accept)
จ่ายค่ามัดจำ (Enrollment Deposit)
ขอเอกสาร I-20 สำหรับใช้ยื่นวีซ่า
💡 บางกรณีอาจได้ Conditional Offer หากยังไม่จบ หรือยังขาดคะแนนสอบ
ขั้นตอนที่ 6: ยื่นขอวีซ่า F-1
เมื่อลงทะเบียนกับมหาวิทยาลัยแล้ว คุณจะได้รับ แบบฟอร์ม I-20 ซึ่งใช้ในการขอวีซ่านักเรียน (F-1 Visa)
ขั้นตอนคือ:
กรอกแบบฟอร์ม DS-160
จ่ายค่าธรรมเนียม SEVIS ($350) และค่าธรรมเนียมวีซ่า
นัดวันสัมภาษณ์ที่สถานทูตสหรัฐฯ
เตรียมเอกสารประกอบ เช่น:
พาสปอร์ต
รูปถ่ายขนาดวีซ่า
ใบตอบรับ (I-20)
Bank Statement (หลักฐานการเงิน)
เอกสารสนับสนุนอื่น ๆ
🎯 เคล็ดลับการสัมภาษณ์วีซ่า:
ตอบตรงไปตรงมา
แสดงให้เห็นว่าไม่มีแผนจะอยู่นอกกฎหมาย
มีแผนกลับประเทศไทยชัดเจนหลังเรียนจบ
ขั้นตอนที่ 7: เตรียมตัวเดินทาง
เมื่อวีซ่าผ่านแล้ว ก็ถึงเวลาจัดกระเป๋า วางแผนการใช้ชีวิตในต่างแดน
✈️ สิ่งที่ควรทำล่วงหน้า:
หาที่พัก (หอพักมหาวิทยาลัย, Airbnb, เช่าห้อง)
จองตั๋วเครื่องบิน
ลงทะเบียนคลาส
ซื้อประกันสุขภาพ
ตรวจสุขภาพ / ฉีดวัคซีน
📦 ของที่ควรเตรียม:
เอกสารสำคัญ (Original Transcript, I-20, Passport ฯลฯ)
เสื้อผ้าเหมาะกับอากาศ (หนาวมากบางรัฐ)
ของกินไทย (พริกป่น น้ำพริก ปลาร้า 🐟)
ปลั๊กแปลงไฟ (อเมริกาใช้ปลั๊กแบบ A/B 110V)
📌 สรุปท้ายบทความ การเรียนต่ออเมริกาปี 2026-27 อาจดูเป็นเรื่องใหญ่ แต่ถ้ามีการวางแผนที่ดี ก็จะกลายเป็น “โอกาสแห่งชีวิต” ที่เปลี่ยนอนาคตของคุณได้เลย เริ่มจากรู้ว่าอยากเรียนอะไร → หาแหล่งทุน → เตรียมเอกสาร → สมัคร → ขอวีซ่า → ไปใช้ชีวิตในต่างแดนอย่างมั่นใจ
อยากเรียนต่ออเมริกา 👉 นัดหมายปรึกษาฟรีวันนี้ที่ https://lin.ee/tgcaFG1
เพียงแค่ 1 บัญชีสำหรับการไปเรียนต่อต่างประเทศ
สร้างโปรไฟล์พร้อมทั้งปลดล็อกคุณสมบัติต่าง ๆ มากมาย รวมถึงคำแนะนำแบบส่วนตัว แอปพลิเคชันที่ติดตามได้อย่างรวดเร็ว และอื่น ๆ อีกมากมาย










